อาชีพเดียวไม่พอ มดงานยุคดิจิทัลต้องมีอาชีพที่สอง
มองไปรอบตัวนาทีนี้ แทบไม่มีใครก้มหน้าก้มตาทำอาชีพเดียว หวังพึ่งน้ำบ่อเดิมที่ไม่รู้ว่าจะแห้งผากไปเมื่อใดอีกต่อไป หลายๆ คนเริ่มมีอาชีพเสริมหลังเลิกงาน หรือ มองหาโอกาสใหม่ๆให้ตัวเองด้วยอาชีพที่สอง สาม หรือ สี่ แบบที่ฝรั่งเรียกว่า “Multiple Jobs” ซึ่งเป็นการอัพเลเวลจากมนุษย์เงินเดือนที่มีทักษะ Multitasking คือ ทำงานได้หลายอย่าง แต่ยังอยู่ในอาชีพเดิม การปรากฏตัวของเหล่า “Multiple Jobs” ส่วนหนึ่งเพื่อตอบโจทย์โลกยุคดิจิทัลที่ไม่เพียงมีการแข่งขันสูง และ ดุเดือดขึ้น แต่ยังต้องคอยระวังการคุกคามของเหล่ากองทัพหุ่นยนต์เอไอที่พร้อมรุกคืบเข้ามาแย่งงานแบบไม่ทันตั้งตัว
เพราะฉะนั้น จากนี้ แทนที่จะตั้งคำถามว่า ทำไมคนยุคนี้ ต้องเหนื่อยกว่าเก่า เลิกงานแล้วยังต้องแบ่งเวลาไปทำอาชีพที่สอง สาม สี่ ถึงเวลาตั้งคำถามใหม่ว่า ทำไมถึงจะไม่ ทั้งที่การทำหลายอาชีพในเวลาเดียวกัน มีข้อดีมากมายแบบที่คุณอาจไม่เคยรู้หรือนึกไม่ถึง
1.ทำให้คุณได้ค้นพบคำตอบบางอย่าง เพื่อเติมเต็มช่องว่างที่หายไป บางครั้งการอยู่ในคอมฟอร์ตโซนนานเกินไป จนทำให้หัวใจไม่ได้สูบฉีดกับความแปลกใหม่ อาจทำให้คุณหลงลืมตัว คิดว่าตัวเองเป็นยอดฝีมือในยุทธภพ การพาตัวเองออกไปคลุกคลีกับสายงานที่ไม่คุ้นเคย หรือ แปลกใหม่ อาจต่อยอดหรือปลดล็อกทักษะบางอย่างที่คุณไม่เคยรู้ว่ามีหรือจำเป็นก็ได้
2.คุณไม่จำเป็นต้องเลือกงานที่เหมาะสม ตัดใจจากงานที่รัก ข้อดีของการทำหลายอาชีพคือ เปิดโอกาสให้คุณได้โลภมากแต่ลาภไม่หายได้ หลายคนอาจเจองานที่รัก และรู้สึกว่าใช่เลย แต่จำใจต้องหันหลังให้งานนั้นอย่างน่าเสียดาย เพราะรู้สึกว่าไม่ใช่งานที่สามารถเลี้ยงชีพได้ ฝืนเดินต่อไปก็ต้องเจอทางตัน ทว่าชีวิตไม่โหดร้ายขนาดนั้น ถ้าคุณรู้จักบริหารเวลา คุณอาจเก็บงานที่รักไว้เป็นงานรอง แต่มองหางานที่เหมาะสมไว้เป็นงานหลักได้ ใครจะรู้ว่าอนาคต งานที่คู่ควรกับงานที่รัก อาจพัฒนาให้คุณเป็นอีกคนที่มีทักษะเฉพาะทางที่หลายคนไม่มีก็เป็นได้
3.เปิดประตูสู่คอนเนกชั่นใหม่ๆ ในยุคที่การสื่อสารไร้พรมแดน ไม่มีใครปฏิเสธความสำคัญของคอนเนกชั่นอีกต่อไป เพราะฉะนั้นการพาตัวเองไปอยู่ในแวดวงที่หลากหลาย เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ตัวเองได้พบปะและเรียนรู้จากผู้คนใหม่ๆ ที่อยู่ในต่างสายงาน และมีประสบการณ์ที่แตกต่างถ้าจะบอกว่า เหนื่อย ก็ต้องบอกว่าค่าเหนื่อยครั้งนี้คุ้มค่า
อย่างไรก็ตาม แม้สวมวิญญาณ Multiple Jobs จะดูมีแต่ได้มากกว่าเสีย แต่ก่อนที่คิดจะมองหาอาชีพที่สอง สาม สี่ นอกจากจะต้องมีหัวใจที่ฮึกเหิม คุณต้องถามตัวเองให้ดีก่อนว่า
1.พร้อมจริงหรือเปล่า? ความสำเร็จจะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม ถ้าเริ่มด้วยใจที่พร้อม ก่อนจะก้าวไปสู่การทำอาชีพที่สอง ต้องนั่งคุยกับตัวเองให้เคลียร์ ให้เห็นภาพชัดว่า เป้าหมายที่คุณอยากไปให้ถึงในการทำอาชีพที่สองหรือโปรเจ็กต์พิเศษคืออะไร เพื่อที่จะได้เลือกทำในสิ่งที่ใช่จริงๆ
2.ตรวจสอบเงื่อนไขของบริษัทให้ดี ว่าการทำงานที่สองหรือโปรเจ็กต์พิเศษนี้อยู่ในข้อห้ามของบริษัทหรือไม่ มิฉะนั้นคุณอาจเจอบริษัทคาดโทษหรือไล่ออกหากถูกจับได้ภายหลัง แต่ถ้าคุณโชคดีอยู่ในบริษัทที่พร้อมเปิดโอกาสให้พนักงานได้มีประสบการณ์ที่หลากหลาย คุณอาจต้องแสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการแจ้งให้หัวหน้างานทราบว่า คุณกำลังทำอะไรอยู่ อย่างน้อยถือเป็นการให้เกียรติหัวหน้างาน
3.พร้อมบริหารจัดการกับความท้าทายที่เข้ามา หากคุณประเมินว่างานประจำที่ทำอยู่มีความยุ่งระดับ7-8 รู้ไว้เลยว่าจากนี้ ความยุ่งของคุณจะทวีคูณไปถึงระดับ 9 -10 เพราะฉะนั้นคุณต้องเตรียมตัวเตรียมใจให้ดี เพื่อไม่ให้งานหลักต้องกระทบ และงานรองต้องกระเทือน